วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

บันทึกอนุทิน ครั้งที่ 12 วันพุธ ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2559

บันทึกอนุทิน
ครั้งที่ 12 เวลาเรียน 08.30-12.30 น.
วิชา การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
อาจารย์ผู้สอน อาจารย์ตฤณ   แจ่มถิน
วันพุธ ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2559

เนื้อหาการเรียน(ความรู้ที่ได้รับ) :


"โปรแกรมการศึกษาเฉพาะบุคคล"
(Individualized Education Program)

แผน IEP
      - แผนการศึกษาที่ร่างขึ้น
      - เพื่อให้เด็กพิเศษแต่ละคนได้รับการสอน และการช่วยเหลือฟื้นฟูให้เหมาะสมกับความต้องการและความสามารถของเขา
      - ด้วยการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก
      - โดยระบุเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดการใช้แผนและวิธีการวัดประเมินผล
การเขียนแผน IEP
     - คัดแยกเด็กพิเศษ
     - ครูต้องรู้ว่าเด็กมีปัญหาอะไร
     - ประเมินพัฒนาการเด็กเป็นระยะ จะทำให้ทราบว่าจะต้องเริ่มช่วยเหลือเด็กจากจุดไหน ในทักษะใด
     - เด็กสามารถทำอะไรได้/เด็กไม่สามารถทำอะไรได้
     - แล้วจึงเริ่มเขียนแผน IEP
IEP ประกอบด้วย
    - ข้อมูลส่วนตัวของเด็ก
    - ระบุว่าเด็กมีความจำเป็นต้องได้รับบริการพิเศษอะไรบ้าง
    - การระบุความสามารถของเด็กในขณะปัจจุบัน
    - เป้าหมายระยะยาวประจำปี/ระยะสั้น
    - ระบุวัน เดือน ปี ที่เริ่มทำการสอน และคาดคะเนการสิ้นสุดของแผน
    - วิธีการประเมินผล
ประโยชน์ต่อเด็ก
   - ได้เรียนรู้ตามความสามารถของตน
   - ได้มีโอกาสพัฒนาตามศักยภาพของตน
   - ได้รับการศึกษาและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม
   - ถ้าเด็กเข้าเรียนในโรงเรียนจะไม่ถูกจัดเข้าชั้นเรียนเฉยๆ
ประโยชน์ต่อครู
   - เป็นแนวทางการจัดการเรียนการสอนที่ตรงกับความสามารถและความต้องการของเด็ก
   - เป็นแนวทางในการเลือกสื่อการสอนและวิธีการให้เหมาะกับเด็ก
   - ปรับเปลี่ยนได้เมื่อความต้องการเปลี่ยนแปลงไป
   - เป็นแนวทางในการประเมินผลการเรียนและการเขียนรายงานพัฒนาการความก้าวหน้าของเด็ก
   - ตรวจสอบและประเมินได้เป็นระยะ
ประโยชน์ต่อผู้ปกครอง
   - ได้มีส่วนร่วมในการจัดทำแผนการเรียนรายบุคคล เพื่อให้เด็กได้พัฒนาความสามารถได้สูงสุดตามศักยภาพ
  - ทราบร่วมกับครูว่าจะฝึกลูกของตนอย่างไร
  - เกิดความร่วมมือในการพัฒนาเด็ก มีการติดต่อสื่อสารกันอย่างต่อเนื่อง และใกล้ชิดระหว่างบ้านกับโรงเรียน

ขั้นตอนการจัดทำแผนการศึกษารายบุคคล
1.การรวบรวมข้อมูล
   - รายงานทางการแพทย์
   - รายงานการประเมินด้านต่างๆ
   - บันทึกจากผู้ปกครอง ครู้ และผู้ที่เกี่ยวข้อง
2.การจัดทำแผน
  - ประชุมผู้ที่เกี่ยวข้อง
  - กำหนดจุดมุ่งหมายระยะยาวและระยะสั้น
  - กำหนดโปรแกรมและจัดกิจกรรม
  - จะต้องได้รับการรับรองแผนการศึกษาเฉพาะบุคคลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
    
การกำหนดจุดมุ่งหมาย
   - จุดมุ่งหมายระยะยาว
          - กำหนดให้ชัดเจน แม้จะกว้าง
             - น้องนุ่นช่วยเหลือตนเองได้
             - น้องดาวร่วมมือกับผู้อื่นได้ดีขึ้น
             - น้องริวเข้ากับเพื่อนคนอื่นได้

    - จุดมุ่งหมายระยะสั้น
            - ตั้งให้อยู่ภายใต้จุดมุ่งหมายหลัก
            - เป็นพฤติกรรมที่เด็กสามารถทำได้ในระยะ 2-3 วัน หรือ 2-3 สัปดาห์
            - จะสอนใคร
            - พฤติกรรมอะไร
            - เมื่อไหร่ ที่ไหน (ที่พฤติกรรมนั้นจะเกิด)
            - พฤติกรรมนั้นต้องดีขนาดไหน

3.การใช้แผน
  - เมื่อแผนเสร็จสมบูรณ์ ครูจะนำไปใช้โดยจะใช้แผนระยะสั้น
  - นำมาทำเป็นจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
  - แยกย่อยขั้นตอนการสอนให้เหมาะกับเด็ก
  - จัดเตรียมสื่อและจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
  - ต้องมีการสังเกตเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเด็กและความสามารถ โดยคำนึงถึง
      1.)ขั้นตอนพัฒนาการของเด็กปกติ
      2.)ตัวชี้วัดพื้นฐานที่เกี่ยวกับปัญหาของพัฒนาการเด็ก
      3.)อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมของเด็กและผู้ใหญ่ที่มีผลต่อการแสดงออกของเด็ก
4.การประเมินผล
   - โดยทั่วไปจะประเมินภาคเรียนละครั้ง หรือย่อยกว่านั้น
   - ควรมีการกำหนดวิธีการประเมิน และเกณฑ์วัดผล

****การประเมินในแต่ละทักษะหรือแต่ละกิจกรรม อาจใช้วิธีวัดและกำหนดเกณฑ์แตกต่างกัน





*กิจกรรมวงกลมทำนาย*



ทักษะที่ได้:

  • การตอบคำถาม
  • การคิดวิเคราะห์
การประยุกต์ใช้ :  

ใช้ในการจัด"โปรแกรมการศึกษาเฉพาะบุคคล"(Individualized Education Program)

กาาประเมินผล
  • ตนเอง ตั้งใจเรียน แต่งกายถูกระเบียบ
  • เพื่อน :  ตั้งใจตอบคำถาม ไม่วุ่นวาย
  • อาจารย์  อาจารย์ได้ใช้เทคโนโลยีในการสอนได้เหมาะสม เนื้อหาเข้าใจง่ายกระชับ

บันทึกอนุทิน ครั้งที่ 11 วันพุธ ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559

บันทึกอนุทิน
ครั้งที่ 11 เวลาเรียน 08.30-12.30 น.
วิชา การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
อาจารย์ผู้สอน อาจารย์ตฤณ   แจ่มถิน
วันพุธ ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559

เนื้อหาการเรียน(ความรู้ที่ได้รับ) :









































การวัดความสามารถทางภาษา
                - เข้าใจสิ่งที่ผู้อื่นพุดไหม
                - ตอบสนองเมื่อมีคนอื่นพูดด้วยไหม
                - ถามหาสิ่งต่างๆไหม
                - บอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นไหม
                -  ใช้คำศัพท์ของตัวเองกับเด็กคนอื่นไหม
การออกเสียงผิดพูดไม่ชัด
                - การพูดตกหล่อน
                - การใช้เสียงหนึ่งแทนอีกเสียง
                - ติดอ่าง
การปฏิบัติของครูและผู้ใหญ่
                - ไม่สนการพูดซ้ำหรือการออกเสียงไม่ชัด
               - ห้ามบอกเด็กว่า"พูดช้าๆ"  "ตามสบาย"  "คิดก่อนพูด"
               - อย่าขัดจังหวะขณะเด็กพูด
               - อย่าเปลี่ยนการใช้มือข้างที่ถนัดของเด็ก
ทักษะพื้นฐานทางภาษา
               - ทักษะการรับรู้ภาษา
               - การแสดงออกทางภาษา

               - การสื่อความหมายโดยไม่ใช้คำพูด






ความรับผิดชอบของครูปฐมวัย
                - การรับรู้ภาษามาก่อนการแสดงออกทางภาษา
               - ภาษาไม่ใช่คำพูดมาก่อนภาษาพูด
               - ให้เวลาเด็กได้พูด
               -  คอยให้เด็กตอบ (ชี้แนะหากจำเป็น) 
               -  เป็นผู้ฟังที่ดีและโต้ตอบอย่างฉับไว (ครูไม่พูดมากเกินไป)
               - เด็กไม่ได้เรียนรู้ภาษาจากการฟังอย่างเดียว
               - ให้เด็กทำกิจกรรมกลุ่ม เด็กพิเศษได้มีแบบอย่างจากเพื่อน
               - กระตุ้นให้เด็กบอกความต้องการของตนเอง (ครูไม่คาดการณ์ล่วงหน้า)
               - เน้นวิธีการสื่อความหมายมากกว่าการพูด
               - ใช้คำถามปลายเปิด
               - เด็กพิเศษรับรู้มากเท่าไหร่ ยิ่งพูดได้มากเท่านั้น

               - ร่วมกิจกรรมกับเด็ก





"เรียนรู้การดำรงชีวิตโดยอิสระให้มากที่สุด  การกินอยู๋ การเขาห้องน้ำ การแต่งตัว กิจวัตรต่างๆในชีวิตประจำวัน"
การสร้างความอิสระ
              - เด็กอยากช่วยเหลือตนเอง
              - อยากทำงานตามความสามารถ
              - เด็กเลียนแบบการช่วยเหลือตนเองจากเพื่อน เด็กที่โตกว่าและผู้ใหญ่
ความสำเร็จเป็นสิ่งสำคัญ
              - การได้ทำด้วยตนเอง
              - เชื่อมั่นในตนเอง
              - เรียนรู้ความรู้สึกที่ดี
หัดให้เด็กทำเอง
              - ไม่ช่วยเหลือเกินความจำเป็น (ใจแข็ง)
              - ผู้ใหญ่มักทำสิ่งต่างๆให้เด็กมากเกินไป
              - ทำให้แม้กระทั่งสิ่งที่เด็กสามารถทำได้เองหากให้เวลาเขาทำ
              - "หนูทำช้า"  "หนูยังทำไม่ได้"
จะช่วยเมื่อไหร่
              - เด็กก็มีบางวันที่ไม่อยากทำอะไร,หงุดหงิด,เบื่อ,ไม่ค่อยสบาย
              - หลายครั้งเด็กจะขอความช่วยเหลือในสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปแล้ว
              - เด็กรู้สึกว่ายังมีผู้ใหญ่ที่พึ่งได้ แต่ต้องได้รับความช่วยเหลือเฉพาะสิ่งที่เด็กต้องการ
              - มักช่วยเด็กในช่วงกิจกรรม










ลำดับขั้นในการช่วยเหลือ
              - แบ่งทักษะการช่วยเหลือตนเองออกเป็นขั้นย่อยๆ
              - เรียงลำดับตามขั้นตอน


การวางแผนทีละขั้น

              - แยกกิจกรรมเป็นขันย่อยๆให้มากที่สุด







เป้าหมาย
          - การช่วยให้เด็กแต่ละคนเรียนรู้ได้
          - มีความรู้สึกดีต่อตนเอง
          - เด็กรู้สึกว่า"ฉันทำได้"
          - พัฒนาความกระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็น
          - อยากสำรวจ อยากทดลอง
ช่วงความสนใจ
          - ต้องมีการเรียนรู้อื่นๆ
          - จดจ่อต่อกิจกรรมในช่วงเวลาหนึ่งได้นานพอสมควร
การเลียนแบบ
การทำตามคำสั่ง คำแนะนำ
          - เด็กได้ยินสิ่งที่ครูพูดชัดหรือไม่
          - เด็กเข้าใจคำศัพท์ที่ครูใช้หรือไม่
          - คำสั่งยุ่งยากซับซ้อนไปหรือไม่
การรับรู้ การเคลื่อนไหว
          - ได้ยิน เห็น สัมผัส ลิ้มรส กลิ่น
          - ตอบสนองอย่างเหมาะสม
การควบคุมกล้ามเนื้อเล็ก
          - การกรอกน้ำ ตวงน้ำ
          - ต่อบล็อก
          - ศิลปะ
          - มุมบ้าน
          - ช่วยเหลือตนเอง
          - จากการสนทนา
          - เมื่อเช้าหนูทานอะไร
          - แกงจืดที่เรากินใส่อะไรบ้าง
          - จำตัวละครในนิทาน
          - จำชื่อครู เพื่อน
          - เล่นเกมทายของที่หายไป
ทักษะทางคณฺิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์
         - การจำแนก
         - การเรียงลำดับ
         - การนับ
         - การสังเกต
         - ทักษะการเปรียบเทียบ
         - การวัด

         - รูปทรงและขนาด









ทักษะที่ได้:

  • การตอบคำถาม
  • การวิเคราะห์
การประยุกต์ใช้ : เพื่อเป็นความรู้ในการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมและปรับพฏติกรรมเด็กได้

การประเมินผล
  • ตนเอง ตั้งใจเรียน แต่งกายถูกระเบียบ ร่วมตอบคำถามกับเพื่อนๆ
  • เพื่อน :  ตั้งใจตอบคำถาม ไม่วุ่นวาย 
  • อาจารย์  สอนเนื้อหาได้ดีพร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบ

บันทึกอนุทิน ครั้งที่ 10 พุธ ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

บันทึกอนุทิน
ครั้งที่ 10 เวลาเรียน 08.30-12.30 น.
วิชา การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
อาจารย์ผู้สอน อาจารย์ตฤณ   แจ่มถิน
วันพุธ ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

เนื้อหาการเรียน(ความรู้ที่ได้รับ) :



การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย

รูปแบบการจัดการศึกษา
•การศึกษาปกติทั่วไป (Regular Education)
•การศึกษาพิเศษ (Special Education)
•การศึกษาแบบเรียนร่วม  (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
•การศึกษาแบบเรียนรวม  (Inclusive Education)


การจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ 
เด็กที่มีความต้องการพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสม
กับความต้องการพิเศษของเขา

ความหมายของการศึกษาแบบเรียนร่วม (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
การจัดให้เด็กพิเศษเข้าไปในระบบการศึกษาทั่วไป
มีกิจกรรมที่ให้เด็กพิเศษกับเด็กทั่วไปได้ทำร่วมกัน
ใช้ช่วงเวลาช่วงใดช่วงหนึ่งในแต่ละวัน
ครูปฐมวัยและครูการศึกษาพิเศษร่วมมือกัน

การเรียนร่วมบางเวลา (Integration) 
การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติในบางเวลา
เด็กพิเศษได้มีโอกาสแสดงออก และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กปกติ
เป็นเด็กพิเศษที่มีความพิการระดับปานกลางถึงระดับมาก จึงไม่อาจเรียนร่วมเต็มเวลาได้ 

การเรียนร่วมเต็มเวลา (Mainstreaming)
การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติตลอดเวลาที่เด็กอยู่ในโรงเรียน
เด็กพิเศษได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้และบริการนอกห้องเรียนเหมือนเด็กปกติ
มีเป้าหมายเพื่อให้เด็กเข้าใจซึ่งกันและกัน ตอบสนองความต้องการซึ่งกันและกันและมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกัน
และกัน
เด็กปกติจะยอมรับความหลากหลายของมนุษย์ เข้าใจว่าคนเราเกิดมาไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกอย่าง
ท่ามกลางความแตกต่างกัน มนุษย์เราต้องการความรัก ความสนใจ ความเอาใจใส่เช่นเดียวกันทุกคน

ความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education)
การศึกษาสำหรับทุกคน
รับเด็กเข้ามาเรียนรวมกันตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษา
จัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล

Wilson , 2007
การจัดการเรียนการสอนที่ยึดปรัชญาของการอยู่รวมกัน (Inclusion) เป็นหลัก
การสอนที่ดี เป็นการสอนที่ครูกับนักเรียนช่วยกันให้ทุกคนเป็นสมาชิกที่ดีของชุมชน
กิจกรรมทุกชนิดที่จะนำไปสู่การสอนที่ดี (Good Teaching) ต้องคิดอย่างรอบคอบเพื่อหาหนทางให้
นักเรียนทุกคนสามารถเรียนได้
เป็นการกำหนดทางเลือกหลายๆ ทาง









ครูไม่ควรวินิจฉัย
การวินิจฉัย หมายถึงการตัดสินใจโดยดูจากอาการหรือสัญญาณบางอย่าง
จากอาการที่แสดงออกมานั้นอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้

ครูไม่ควรตั้งชื่อหรือระบุประเภทเด็ก
เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
ชื่อเปรียบเสมือนตราประทับตัวเด็กตลอดไป
เด็กจะกลายเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ครูไม่ควรบอกพ่อแม่ว่าเด็กมีบางอย่างผิดปกติ
พ่อแม่ของเด็กพิเศษ มักทราบดีว่าลูกของเขามีปัญหา
พ่อแม่ไม่ต้องการให้ครูมาย้ำในสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว
ครูควรพูดในสิ่งที่เป็นความคาดหวังในด้านบวก แต่ต้องไม่ให้เกิดความหวังผิดๆ
ครูควรรายงานผู้ปกครองว่าเด็กทำอะไรได้บ้าง เท่ากับเป็นการบอกว่าเด็กทำอะไรไม่ได้
ครูช่วยให้ผู้ปกครองมีความหวังและเห็นแนวทางที่จะช่วยให้เด็กพัฒนา

ครูทำอะไรบ้าง
ครูสามารถชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของเด็กในเรื่องที่เกี่ยวกับพัฒนาการต่างๆ
ให้ข้อแนะนำในการหาบุคลากรที่เหมาะสมในการประเมินผลหรือวินิจฉัย
สังเกตเด็กอย่างมีระบบ
จดบันทึกพฤติกรรมเด็กเป็นช่วงๆ

สังเกตอย่างมีระบบ
ไม่มีใครสามารถสังเกตอย่างมีระบบได้ดีกว่าครู
ครูเห็นเด็กในสถานการณ์ต่างๆ ช่วงเวลายาวนานกว่า
ต่างจากแพทย์ นักจิตวิทยา นักคลินิก มักมุ่งความสนใจอยู่ที่ปัญหา

การตรวจสอบ
จะทราบว่าเด็กมีพฤติกรรมอย่างไร
เป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้ครูและพ่อแม่เข้าใจเด็กดีขึ้น
บอกได้ว่าเรื่องใดบ้างที่เด็กต้องการความช่วยเหลือ

ข้อควรระวังในการปฏิบัติ
ครูต้องไวต่อความรู้สึกและตัดสินใจล่วงหน้าได้
ประเมินให้น้ำหนักความสำคัญของเรื่องต่างๆได้
พฤติกรรมบางอย่างของเด็กไม่ได้ปรากฏให้เห็นเสมอไป

การบันทึกการสังเกต
การนับอย่างง่ายๆ
การบันทึกต่อเนื่อง
การบันทึกไม่ต่อเนื่อง

การนับอย่างง่ายๆ
นับจำนวนครั้งของการเกิดพฤติกรรม
กี่ครั้งในแต่ละวัน กี่ครั้งในแต่ละชั่วโมง
ระยะเวลาในการเกิดพฤติกรรม

การบันทึกต่อเนื่อง
ให้รายละเอียดได้มาก
เขียนทุกอย่างที่เด็กทำในช่วงเวลาหนึ่ง หรือช่วงกิจกรรมหนึ่ง
โดยไม่ต้องเข้าไปแนะนำช่วยเหลือ

การบันทึกไม่ต่อเนื่อง
บันทึกลงบัตรเล็กๆ
เป็นการบันทึกสั้นๆเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กแต่ละคนในช่วงเวลาหนึ่ง

การเกิดพฤติกรรมบางอย่างมากเกินไป
ควรเอาใจใส่ถึงระดับความมากน้อยของความบกพร่อง มากกว่าชนิดองความบกพร่อง
พฤติกรรมไม่เหมาะสมที่พบได้ในเด็กทุกคน ไม่ควรจัดเป็นสิ่งผิดปกติ

การตัดสินใจ
ครูต้องตัดสินใจด้วยความระมัดระวัง
พฤติกรรมของเด็กที่เกิดขึ้น ไปขัดขวางความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กหรือไม่

กิจกรรมวาดภาพดอกบัวพร้อมทั้งบรรยายภาพดอกบัวของตนเอง

ทุกครั้งที่ครูรายงานผลเด็กครูต้องรายงานผลตามความเป็นจริง เหมือนดั่งที่เราวาดดอกบัว  
 เราต้องทุกรายละเอียดเพื่อประเมินได้อย่างถูกต้อง


ทักษะที่ได้:

  • การตอบคำถาม
  • การวิเคราะห์


การประยุกต์ใช้ : เพื่อเป็นความรู้ในการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการเรียนรวมของเด็กได้


กาาประเมินผล
  • ตนเอง  แต่งกายถูกระเบียบ  ตั้งใจตอบคำถาม
  • เพื่อน :  ตั้งใจตอบคำถาม ไม่เสียงดัง
  • อาจารย์  อาจารย์ได้ใช้เทคโนโลยีในการสอนได้เหมาะสม เนื้อหาเข้าใจง่ายกระชับ